Home ความรู้ในการพัฒนาวิชาชีพทนายความ ขับรถผ่านหมู่บ้านด้วยความเร็วสูง เกิดอุบัติเหตุอ้างไม่ต้องรับผิดได้หรือไม่

ขับรถผ่านหมู่บ้านด้วยความเร็วสูง เกิดอุบัติเหตุอ้างไม่ต้องรับผิดได้หรือไม่

222
0

 

ขับรถผ่านหมู่บ้านด้วยความเร็วสูง เกิดอุบัติเหตุอ้างไม่ต้องรับผิดได้หรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3192/2531

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 78, 157, 160และคืนรถของกลางให้แก่เจ้าของ จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 43, 78,157, 160 วรรคแรก เรียงกระทงลงโทษ ฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 จำคุก 3 ปี ฐานหลบหนี ไม่ช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้จำคุก1 เดือน รถของกลางคืนให้แก่เจ้าของ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาในปัญหาที่ว่า จำเลยมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือไม่ ข้อนี้ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองว่า เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2528 เวลา 17.30 นาฬิกาจำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 70-0165 สกลนคร บรรทุกหินและทรายหนักประมาณ 13 ตัน มาตามถนนสายบึงกาฬ-พังโคน โฉมหน้าไปทางพังโคนด้วยความเร็วประมาณ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ครั้นถึงบ้านหนองจันทร์ซึ่งเป็นทางแยกทางร่วม สองข้างทางเป็นร้านค้าและบ้านคนอยู่อาศัย เป็นที่ชุมนุมชน ทั้งมีเด็ก ๆ วิ่งเล่นอยู่ข้างถนน จำเลยก็มิได้ลดความเร็วของรถลงแต่ประการใด ในพฤติการณ์เช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยขับรถโดยประมาท เมื่อข้อเท็จจริงได้ความต่อไปว่า รถบรรทุกสิบล้อคันที่จำเลยขับชนเด็กชายมะนาว พันธ์สาย ซึ่งวิ่งตัดหน้ารถของจำเลยในระยะ 40 เมตรถึงแก่ความตาย คดีจึงมีปัญหาว่า การที่ผู้ตายถึงแก่ความตายเป็นผลมาจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าถ้าจำเลยไม่ขับรถด้วยความเร็วเมื่อจำเลยเห็นผู้ตายวิ่งข้ามถนนในระยะ 40 เมตร จำเลยย่อมหยุดรถได้ทัน ดังนั้นการที่จำเลยขับรถชนผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นผลโดยตรงจากความประมาทของจำเลยที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ผู้ตายวิ่งตัดหน้ารถของจำเลยอย่างกระชั้นชิด ยากที่จำเลยจะหยุดรถได้ทันซึ่งเท่ากับว่าความตายที่เกิดขึ้นไม่ใช่ผลที่มาจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีไม่ปรากฏข้อเท็จจริงจากการนำสืบของฝ่ายใดว่า แม้จำเลยจะขับรถช้าโดยลดความเร็วของรถลงเมื่อผู้ตายวิ่งตัดหน้ารถของจำเลยในระยะที่กล่าวมาแล้ว รถของจำเลยก็ต้องชนผู้ตายเพราะหยุดรถไม่ทันเช่นเดียวกัน ดังนั้นการที่รถของจำเลยชนผู้ตายจะถือว่าไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยไม่ได้ จำเลยจึงมีความผิด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

สรุป

จำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อบรรทุกหินและทรายหนัก 13 ตัน ผ่านทางแยกทางร่วม สองข้างทางเป็นร้านค้าและบ้านคนอยู่อาศัย ทั้งมีเด็ก ๆ กำลังวิ่งเล่นอยู่ ด้วยความเร็วประมาณ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มิได้ลดความเร็วลงเลย เป็นการขับรถโดยประมาท แม้เด็กชายส.ผู้ตายวิ่งตัดหน้ารถจำเลยในระยะ 40 เมตร แต่ถ้าจำเลยไม่ขับรถเร็ว เมื่อจำเลยเห็นผู้ตายวิ่งข้ามถนนในระยะ 40 เมตร จำเลยย่อมหยุดรถได้ทัน การที่จำเลยขับรถชนผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงเป็นผลโดยตรงจากความประมาทของจำเลย