Home ความรู้ในการพัฒนาวิชาชีพทนายความ ศาลฎีกาวางหลักคำนิยามเกี่ยวกับเรื่องการแซงไว้อย่างไร

ศาลฎีกาวางหลักคำนิยามเกี่ยวกับเรื่องการแซงไว้อย่างไร

263
0

ศาลฎีกาวางหลักคำนิยามเกี่ยวกับเรื่องการแซงไว้อย่างไร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 427/2521

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ร.บ. 07914 มีนายแคแสดลูกจ้างโจทก์เป็นผู้ขับขี่ จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ร.บ.00753 มีจำเลยที่ 1 ลูกจ้างจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2513 นายแคแสดขับรถยนต์ของโจทก์มาตามถนนจากหนองแช่เสามาตลาดราชบุรีถึงบริเวณเขาหินแดง อำเภอเมืองราชบุรี จำเลยที่ 1 กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 มาด้วยความเร็วสูง ในขณะจะสวนทางกันจำเลยที่ 1 ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง ได้หักพวงมาลัยแซงรถยนต์อีกคันหนึ่งขึ้นมาในเส้นทางของโจทก์ในระยะกระชั้นชิด ซึ่งจำเลยที่ 1 ควรต้องรอให้รถยนต์ของโจทก์แล่นเลยไปก่อน เป็นเหตุให้รถยนต์จำเลยที่ 1 พุ่งเข้าชนรถยนต์ของโจทก์ตรงหน้ารถซีกขวาเสียหายรวม 19,680 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย

 

จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า นายแคแสดขับรถชนรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับด้วยความประมาทของนายแคแสดฝ่ายเดียว ตรงที่เกิดเหตุมีกองลูกรังบนถนนด้านซ้ายมือประมาณ 20 กอง จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกดินลูกรังมาเกือบสุดกองลูกรังสวนหลีกกับรถบรรทุกคันหนึ่งไปแล้ว รถยนต์โจทก์ขับตามหลังรถบรรทุกคันนั้นมาในระยะกระชั้นชิดด้วยความเร็วสูง นายแคแสดมองไม่เห็นรถจำเลยที่ 1 ที่สวนมาเพราะมีฝุ่นมาก จึงเข้าชนรถที่จำเลยที่ 1 ขับเสียหาย 22,700 บาท ค่าซ่อมรถโจทก์ไม่เกิน 1,500 บาท ขอให้ใช้ค่าเสียหาย

 

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ลูกจ้างโจทก์มิได้ประมาท รถจำเลยที่ 2 เสียหายไม่เกิน 1,000 บาท

 

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์นำสืบเหตุประมาทของจำเลยไม่ตรงตามฟ้อง คดีตามฟ้องแย้งก็ฟังไม่ได้ว่าคนขับรถโจทก์ประมาท พิพากษายกฟ้องทั้งสองฝ่าย

 

โจทก์อุทธรณ์

 

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหาย

 

จำเลยทั้งสองฎีกา

 

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ถนนช่วงที่เกิดเหตุเป็นทางโค้งผิวถนนลูกรัง มีฝุ่นเมื่อรถแล่นผ่าน และมีดินลูกรังกองไว้ตามทางโค้งด้านนอกเป็นกอง ๆ เว้นระยะห่างพอรถจอดได้ เป็นระยะยาวประมาณ 30 วา ดินลูกรังแต่ละกองล้ำเข้ามาในทางเดินรถประมาณเมตรเศษ ทางช่วงนี้รถจะสวนกันตามปกติไม่ได้คนหนึ่งจะต้องหลีกเข้าไปจอดระหว่างกองดินลูกรังให้อีกคันหนึ่งแล่นผ่านไปก่อน รถโจทก์ขับตามหลังรถบรรทุกของนายดาวกระจายด้านในทางโค้งซึ่งไม่มีกองดินลูกรังส่วนรถจำเลยที่ 1 ขับมาด้านนอกทางโค้งซึ่งมีกองดินลูกรังในทางเดินรถ นายดาวกระจายขับรถหลีกรถจำเลยที่ 1 ไปทางขวาเข้าไปอยู่ระหว่างกองดินลูกรัง เมื่อรถจำเลยที่ 1 แล่นผ่านรถนายดาวกระจายก็ชนกับรถโจทก์ สภาพที่รถชนกัน รถโจทก์หักหลบขึ้นไปชิดขอบทางด้านซ้าย รถจำเลยที่ 1 อยู่ในทางเดินรถของโจทก์ แล้ววินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องกล่าวว่า ในขณะที่รถยนต์โจทก์และจำเลยที่ 1จะสวนกันนั้น จำเลยที่ 1 หักพวงมาลัยแซงรถยนต์อีกคันหนึ่งขึ้นมาในเส้นทางของโจทก์ในระยะกระชั้นชิด พุ่งเข้าชนรถโจทก์ แต่โจทก์นำสืบว่ารถโจทก์ขับตามหลังรถนายดาวกระจายรถนายดาวกระจายหลีกทางให้รถจำเลยที่ 1 โดยนายดาวกระจายขับรถหลบเข้าไปในช่องว่างระหว่างกองดินลูกรัง เมื่อรถจำเลยที่ 1 แล่นผ่านรถนายดาวกระจายไปแล้วก็เข้าชนรถโจทก์ คำว่า “แซง” หมายถึงกริยาแทรกหรือเสียด การที่ฟ้องโจทก์ใช้คำว่าแซงเป็นเพียงใช้ถ้อยคำไม่รัดกุมเท่านั้น เพราะเมื่ออ่านคำฟ้องรวมกันก็พอเข้าใจได้ว่ารถจำเลยที่ 1 แล่นผ่านรถอีกคันหนึ่งแล้วชนรถโจทก์ดังที่โจทก์นำสืบ ทางนำสืบของโจทก์จึงหาแตกต่างหรือนอกประเด็นในคำฟ้องไม่ แล้ววินิจฉัยต่อไปว่า ตามปกติการเดินรถจะต้องเดินทางด้านซ้ายของทาง และเมื่อรถเดินสวนทางกันจะต้องหลีกด้านซ้าย ทางเดินรถของจำเลยที่ 1 มีกองดินลูกรังขวางอยู่ ตามวิสัยของคนขับรถทั่วไปจะพึงใช้ความระมัดระวัง เมื่อรถจำเลยที่ 1 เดินในทางของรถโจทก์ จะต้องหลีกทางให้รถโจทก์ที่สวนมาผ่านไปก่อน โดยจำเลยที่ 1 จักต้องหลบเข้าไปจอดระหว่างกองดินลูกรังด้านซ้ายมือและโดยที่ถนนมีฝุ่นลูกรังระหว่างที่รถจำเลยที่ 1 เดินในทางของรถโจทก์ จะต้องใช้ความระมัดระวังให้เห็นรถข้างหน้าที่สวนมาเพื่อหลบหลีกได้ทัน การที่จำเลยที่ 1 ขับรถผ่านนายดาวกระจายซึ่งหลีกทางให้แล้วเกิดชนกับรถโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ยอมให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถในทางเดินรถของโจทก์ด้วยความเร็วขณะที่ถนนมีฝุ่นลูกรัง จึงไม่เห็นรถที่สวนมา ไม่อาจหลบหลีกได้ทัน จำเลยที่ 1 จึงขับรถโดยประมาท ข้อที่ว่ารถจำเลยที่ 1 บรรทุกหินลูกรังเต็มคัน ส่วนรถโจทก์เป็นรถเบา ตามมารยาทจะหลีกให้รถหนักโดยไม่คำนึงถึงกฎจราจรนั้น เป็นเพียงการอะลุ้มอะล่วยเอื้อเฟื้อต่อกันเท่านั้น หาใช่เป็นวิสัยและพฤติการณ์ของผู้ขับรถจะพึงปฏิบัติดังนั้นไม่

 

พิพากษายืน

สรุป

คำว่า “แซง”หมายถึงกิริยาแทรกหรือเสียดตามคำฟ้องกล่าวว่าในขณะที่รถยนต์โจทก์และจำเลยที่ 1 จะสวนกัน จำเลยที่ 1 หักพวงมาลัยแซงรถยนต์อีกคันหนึ่งขึ้นมาในเส้นทางของรถโจทก์ พุ่งเข้าชนรถโจทก์ แต่นำสืบว่ารถโจทก์ขับตามหลังรถคันหนึ่งมาเมื่อรถคันนั้นหลีกทางให้รถจำเลยที่ 1 โดยขับเข้าไปหลบในช่องว่างระหว่างกองดินลูกรังรถจำเลยที่ 1 ผ่านรถคันนั้นไปก็เข้าชนรถโจทก์ ไม่เป็นการแตกต่างกันหรือนอกประเด็นเพียงแต่ใช้ถ้อยคำไม่รัดกุม

การเดินรถจะต้องเดินทางด้านซ้ายของทาง และเมื่อรถเดินสวนทางกันจะต้องหลีกด้านซ้าย ทางเดินรถของจำเลยที่ 1 มีกองดินลูกรังขวางอยู่พึงใช้ความระมัดระวังเมื่อรถจำเลยที่ 1 เดินในทางของรถโจทก์จะต้องหลีกทางให้รถโจทก์ที่สวนมาผ่านไปก่อน และเมื่อถนนมีฝุ่นลูกรัง รถจำเลยที่ 1 ซึ่งเดินอยู่ในทางของรถโจทก์จะต้องใช้ความระมัดระวังให้เห็นรถข้างหน้าที่สวนมาเพื่อหลบหลีกได้ทัน การที่จำเลยที่ 1 ขับรถในทางเดินรถของโจทก์ด้วยความเร็วขณะถนนมีฝุ่นลูกรัง จึงไม่เห็นรถโจทก์ที่สวนมา พอจำเลยที่ 1 ขับรถผ่านรถคันหนึ่งซึ่งหลีกทางให้ก็ชนกับรถโจทก์เช่นนี้ ย่อมถือว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาท

มารยาทในการขับรถที่ว่ารถเบาจะหลีกทางให้รถหนักโดยไม่คำนึงถึงกฎจราจรนั้นเป็นเพียงการอะลุ้มอล่วยเอื้อเฟื้อต่อกันเท่านั้นหาใช่เป็นวิสัยและพฤติการณ์ของผู้ขับรถจะพึงปฏิบัติดังนั้นไม่