Home ความรู้ในการพัฒนาวิชาชีพทนายความ ขับรถโดยไม่มีไฟหน้าและไฟเลี้ยว ถูกชนถือว่าประมาทหรือไม่

ขับรถโดยไม่มีไฟหน้าและไฟเลี้ยว ถูกชนถือว่าประมาทหรือไม่

1489
0

ขับรถโดยไม่มีไฟหน้าและไฟเลี้ยว ถูกชนถือว่าประมาทหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 983/2546

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์กระบะด้วยความประมาท จนเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่แล่นสวนทางมา ทำให้นายขาว ผู้ขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว เด็กชายมะหาด ผู้นั่งซ้อนท้ายได้รับอันตรายสาหัส นายมะม่วงผู้นั่งซ้อนท้ายอีกคนหนึ่งได้รับอัตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300, 390, 91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157

 

จำเลยให้การปฏิเสธ

 

ระหว่างพิจารณาเด็กชายมะหาด ผู้เสียหายโดยนายใบเตยบิดาผู้แทนโดยชอบธรรมยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต (ที่ถูกเฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300, 390)

 

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

 

โจทก์ร่วมอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

 

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43(4), 157 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี และปรับ 6,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

 

โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกา

 

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2539เวลาประมาณ 18 นาฬิกา จำเลยได้ขับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน ผ – 1281เชียงใหม่ เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ไม่มีหมายเลขทะเบียนที่บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 48หมู่ที่ 4 ตำบลดอยหล่อ กิ่งอำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเหตุให้นายขาวคนขับรถจักรยานยนต์ โจทก์ร่วมคนซ้อนท้ายได้รับอันตรายสาหัส และนายมะม่วง คนซ้อนท้ายอีกคนหนึ่งได้รับอันตรายแก่กาย คดีมีปัญหาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ร่วมเบิกความว่า ในวันเวลาเกิดเหตุโจทก์ร่วมเห็นรถยนต์จำเลยขับสวนทางแซงรถยนต์คันหน้าล้ำเข้ามาในช่องเดินรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ร่วมนั่งซ้อนท้าย เป็นเหตุให้รถยนต์จำเลยชนกับรถจักรยานยนต์ทำให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัส ส่วนจำเลยเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุขณะที่จำเลยขับรถยนต์ลงจากเนินเส้นทางถนนเชียงใหม่ – ฮอด เห็นรถจักรยานยนต์วิ่งตัดหน้าจากข้างถนนฝั่งซ้ายมือไปทางด้านขวามือของถนนห่างประมาณ 5 เมตร จำเลยหักรถหลบไปทางขวามือแต่ไม่พ้นเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกัน เห็นว่า หากรถยนต์จำเลยขับแซงรถยนต์คันอื่นเข้ามาชนรถจักรยานยนต์ในช่องเดินรถจักรยานยนต์ตามคำของโจทก์ร่วมแล้ว ความเสียหายของรถทั้งสองคันน่าจะอยู่ที่ส่วนหน้า แต่จากคำเบิกความของร้อยตำรวจโทกาหลง รองสารวัตรกองวิทยาการตำรวจเชียงใหม่ ผู้ตรวจสอบร่องรอยอุบัติเหตุครั้งนี้ได้ความว่า รถทั้งสองคันเฉี่ยวชนกันในลักษณะด้านซ้ายของรถยนต์กระบะชนกับรถจักรยานยนต์ที่ตัวถังด้านขวา และได้ถ่ายรูปคู่กรณีไว้จำนวน 9 ภาพ จากภาพถ่ายดังกล่าวด้านขวาของรถจักรยานยนต์ถูกกระแทกอย่างแรงจนตัวถังยุบ สีเคลือบหลุดฝาครอบกันลมแตก ด้านซ้ายมีรอยครูดที่ฝาครอบกันลม แฮนด์บิดงอไปทางขวา แท่งเหล็กที่ปลายเบาะมีดินติด แสดงว่ารถจักรยานยนต์ล้มไปทางซ้าย ส่วนรถยนต์กระบะความเสียหายปรากฏอยู่ที่ส่วนหน้าด้านซ้ายและขวา สภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงขัดกับคำของโจทก์ร่วม นายมะม่วง พยานโจทก์และโจทก์ร่วมอีกปากหนึ่ง เบิกความว่าก่อนเกิดเหตุนายขาว โจทก์ร่วม และพยานแวะดื่มสุรากันก่อนกลับบ้านเมื่อนายขาวขับรถจักรยานยนต์ห่างจากร้านสุราประมาณ 500 เมตร บนถนนเชียงใหม่ – จอมทอง มุ่งหน้าไปทางอำเภอจอมทอง พยานกับพวกตัดสินใจไปเยี่ยมเพื่อนที่ดอยหล่อซึ่งต้องย้อนกลับ นายขาวจึงชะลอรถเพื่อเลี้ยวรถกลับ ขณะรถจักรยานยนต์อยู่ในช่องเดินรถห่างจากจุดกึ่งกลางถนนประมาณ 1 ศอก พยานเห็นรถยนต์กระบะในช่องทางรถสวนขับแซงรถยนต์คันอื่นเข้ามาชนรถจักรยานยนต์ที่พยานซ้อนท้าย ร้อยตำรวจเอกเสลา สุรงคบพิตร พนักงานสอบสวนเบิกความว่าจากการตรวจสถานที่เกิดเหตุเชื่อว่าจุดเฉี่ยวชนอยู่ในช่องเดินรถของจำเลย เนื่องจากมีรอยยางรถจักรยานยนต์ในลักษณะครึ่งวงกลมบริเวณกึ่งกลางถนน และมีรอยครูดจากรอยยางรถจักรยานยนต์มาถึงจุดที่รถจักรยานยนต์ล้มอยู่ รอยยางล้อรถจักรยานยนต์ลักษณะครึ่งวงกลมปรากฏในแผนที่สังเขป ในช่องเดินรถจำเลย ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ จุดที่รถจักรยานยนต์ล้มหลังเฉี่ยวชนอยู่ที่ขอบทางฝั่งช่องเดินรถจำเลย และมีรอยเลือดปรากฏอยู่กลางช่องเดินรถฝั่งจำเลย จากพยานหลักฐานดังกล่าวจึงน่าเชื่อว่านายขาวได้ขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวกลับรถในช่องเดินรถจำเลยขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 18 นาฬิกาเศษ จากคำเบิกความของโจทก์ร่วมได้ความว่า ขณะนั้นรถที่วิ่งบนถนนทุกคันเปิดไฟหน้า เนื่องจากเป็นเวลาค่ำ แต่ตามสภาพรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุตามรายงานการตรวจสภาพและร่องรอยการเฉี่ยวชนและภาพถ่ายประกอบไม่ปรากฏว่ารถจักรยานยนต์มีไฟส่องหน้า หากอุบัติเหตุทำให้ไฟหน้าแตกก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่แสดงว่ารถดังกล่าวเคยมีไฟหน้ามาก่อน ร้อยตำรวจโทกาหลงเบิกความว่าพยานตรวจรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุโดยละเอียด พบว่าไฟดวงใหญ่ด้านหน้าของรถจักรยานยนต์ดังกล่าวไม่มีส่วนไฟเลี้ยวมีแต่ใช้การไม่ได้เห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลาพลบค่ำ รถที่วิ่งบนถนนทุกคันเปิดไฟแล้ว แสดงว่าถนนมืด รถจักรยานยนต์ที่นายขาวขับไม่มีไฟหน้า ไฟเลี้ยวก็ใช้การไม่ได้ ทั้งก่อนขับรถมีการดื่มสุรามาบ้างแล้ว จุดที่รถจักรยานยนต์เลี้ยวกลับเป็นทางลงเนินอยู่ในช่องเดินรถจำเลยเชื่อว่าเมื่อจำเลยขับรถยนต์กระบะลงเนินแล้ว จำเลยเห็นรถจักรยานยนต์เลี้ยวกลับในช่องเดินรถจำเลยในระยะกระชั้นชิดจึงไม่สามารถบังคับรถยนต์กระบะให้หยุดได้ทันท่วงที การที่รถยนต์กระบะเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์จึงมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยพยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมาฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้นฎีกาจำเลยฟังขึ้น”

 

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

สรุป

ขณะเกิดเหตุเป็นเวลาพบค่ำ รถที่วิ่งบนถนนทุกคันเปิดไฟแล้ว แสดงว่าถนนมืดรถจักรยานยนต์ที่ ส. ขับไม่มีไฟหน้า ไฟเลี้ยวก็ใช้การไม่ได้ ทั้งก่อนขับรถมีการดื่มสุรามาบ้างแล้ว จุดที่รถจักรยานยนต์เลี้ยวกลับเป็นทางลงเนินอยู่ในช่องเดินรถของจำเลย เชื่อได้ว่าเมื่อจำเลยขับรถยนต์กระบะลงเนินแล้ว จำเลยเห็นรถจักรยานยนต์เลี้ยวกลับในช่องเดินรถของตนในระยะกระชั้นชิด ทำให้ไม่สามารถบังคับรถยนต์ให้หยุดได้ทันท่วงทีการที่รถยนต์ของจำเลยเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์เป็นเหตุให้ ส. และโจทก์ร่วม ที่นั่งซ้อนท้ายมาได้รับอันตรายสาหัส จึงมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลย