Home ความรู้ในการพัฒนาวิชาชีพทนายความ ข้อยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัย ในความผิดคดีอาญาที่เกิดจากการฉ้อโกง ศาลฎีกาวางหลักไว้อย่างไร

ข้อยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัย ในความผิดคดีอาญาที่เกิดจากการฉ้อโกง ศาลฎีกาวางหลักไว้อย่างไร

163
0

ข้อยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัย ในความผิดคดีอาญาที่เกิดจากการฉ้อโกง ศาลฎีกาวางหลักไว้อย่างไร

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 290,862 บาท และร่วมกันชำระค่าขาดประโยชน์นับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินทั้งสองจำนวนดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และค่าขาดประโยชน์ในอัตราเดือนละ 6,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อหรือชดใช้ราคาแทน

จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์คืนเงินจำนวน 141,024 บาท แก่จำเลยที่ 1โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง

ก่อนสืบพยาน จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งเรียกบริษัท อ. เข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต

จำเลยร่วมให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยร่วมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 280,000 บาท ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสองและยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างคู่ความทุกฝ่ายให้เป็นพับ

จำเลยร่วมอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยร่วมชำระเงิน 220,000 บาท แก่โจทก์ โดยไม่ต้องรับผิดชำระค่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าจากโจทก์ราคาค่าเช่าซื้อ 634,608 บาท ตกลงผ่อนชำระ 72 งวด งวดละ 8,814 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 10 เมษายน 2557 งวดต่อไปชำระภายในวันที่ 10 ของทุกเดือนจนกว่าจะครบตามสัญญา โดยมีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 เมื่อระหว่างวันที่ 13 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 15 มกราคม 2559 นางสาวอรอุมาหลอกลวงจำเลยที่ 1 ว่าต้องการเช่าซื้อรถยนต์พิพาทของโจทก์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 และจะดำเนินการเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ อันเป็นความเท็จเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 หลงเชื่อมอบรถยนต์พิพาทให้แก่นางสาวอรอุมา ต่อมาศาลแขวงดุสิตมีคำพิพากษาลงโทษนางสาวอรอุมาในข้อหาฉ้อโกง จำเลยที่ 1 แจ้งให้จำเลยร่วมในฐานะบริษัทผู้รับประกันภัยรถยนต์พิพาทชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแต่จำเลยร่วมปฏิเสธ จำเลยที่ 1 ไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ตั้งแต่งวดที่ 40 ประจำวันที่ 10 กรกฎาคม 2560 เป็นต้นไปมา โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองคืนรถและชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยร่วมได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยร่วมต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยต่อโจทก์หรือไม่ และตามที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยร่วมต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 1 ตามจำนวนเงินที่เอาประกันภัยหรือไม่ เห็นสมควรวินิจฉัยไปพร้อมกัน โดยจำเลยร่วมฎีกาสรุปได้ว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาทุจริตมาตั้งแต่เริ่มทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทกับนางสาวอรอุมาโดยไม่มีสิทธิถือว่ารถยนต์พิพาทสูญหายในระหว่างครอบครองตามสัญญาเช่าซื้อ จึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์โดยบุคคลได้รับมอบหมายหรือครอบครองรถยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อ เข้าข้อยกเว้นที่จำเลยร่วมไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 5.1 หากเป็นความผิดฐานฉ้อโกงก็ไม่ใช่ข้อหาที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 2.1 จำเลยร่วมจึงไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ส่วนจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ความเสียหายของทรัพย์ที่เอาประกันภัยมีจำนวน 380,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 ให้จำเลยร่วมชำระเงินแก่โจทก์ 220,000 บาท จึงคงเหลือเงินที่จำเลยร่วมจะต้องชำระแก่จำเลยที่ 1 อีก 160,000 บาท เห็นว่า กรมธรรม์ประกันภัย หมวดคุ้มครองรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ ข้อ 1 ข้อตกลงคุ้มครอง ระบุว่า จำเลยร่วมจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อรถยนต์สูญหายไป อันเกิดจากการกระทำความผิดเฉพาะฐานลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ ข้อ 2 การชดใช้ความเสียหายหรือสูญหายต่อรถยนต์ ข้อ 2.1 ระบุว่า ในกรณีรถยนต์สูญหาย อันเกิดจากการลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ และยักยอกทรัพย์ จำเลยร่วมจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวนเงินเอาประกันภัย โดยผู้เอาประกันหรือผู้รับประโยชน์แล้วแต่กรณีต้องโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่จำเลยร่วม ข้อ 5 การยกเว้นรถยนต์สูญหาย ระบุว่า การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครอง ข้อ 5.1 ความสูญหายอันเกิดจากการลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์ โดยบุคคลได้รับมอบหมายหรือครอบครองรถยนต์ตามสัญญาเช่า สัญญาเช่าซื้อ หรือสัญญาจำนำ หรือโดยบุคคลที่จะกระทำสัญญาดังกล่าว ดังนั้น การพิจารณาความรับผิดของจำเลยร่วมจึงต้องพิจารณาว่ากรณีรถยนต์สูญหายได้รับความคุ้มครองตามข้อ 1 หรือไม่เป็นลำดับแรก หากได้รับความคุ้มครองตามข้อ 1 แล้ว จึงจะพิจารณาว่าเข้าข้อยกเว้นที่การประกันภัยไม่คุ้มครองตามข้อ 5 หรือไม่เป็นลำดับถัดไป ส่วนข้อ 2 เป็นเพียงข้อกำหนดเกี่ยวกับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจะนำมาพิจารณาต่อเมื่อวินิจฉัยว่าจำเลยร่วมต้องรับผิด คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่านางสาวอรอุมาหลอกลวงจำเลยที่ 1 ว่าต้องการเช่าซื้อรถยนต์พิพาทซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 โดยจะไปขอเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์เอง อันเป็นความเท็จ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 หลงเชื่อมอบรถยนต์พิพาทให้นางสาวอรอุมาจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง กรณีมิใช่รถยนต์พิพาทสูญหาย อันเกิดจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ หรือยักยอกทรัพย์ แต่เกิดจากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งไม่อยู่ในเงื่อนไขที่จะได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 1 จำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยแก่โจทก์และจำเลยที่ 1 โดยไม่จำต้องพิจารณาว่ากรณีรถยนต์พิพาทสูญหายดังกล่าวเข้าข้อยกเว้นที่การประกันภัยไม่คุ้มครองตามข้อ 5.1 ดังที่จำเลยร่วมฎีกา และจำเลยร่วมจะต้องรับผิดเต็มจำนวนเงินเอาประกันภัยตามข้อ 2.1 ดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้จำเลยร่วมรับผิดต่อโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยร่วมฟังขึ้นบางส่วน ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาว่าจำเลยร่วมไม่ต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยร่วมเสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

สรุป

จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อนำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปทำสัญญาจะซื้อจะขายและส่งมอบรถยนต์ให้บุคคลภายนอกโดยผู้ให้เช่าซื้อไม่ทราบ โดยบุคคลภายนอกหลอกลวงจำเลยที่ 1 ว่า ต้องการซื้อรถยนต์พิพาทของโจทก์และจะดำเนินการเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์อันเป็นความเท็จ ต่อมาศาลแขวงดุสิตมีคำพิพากษาลงโทษบุคคลภายนอกในข้อหาฉ้อโกง จำเลยร่วมในฐานะบริษัทผู้รับประกันภัยรถยนต์พิพาทไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะรถยนต์สูญหายตามกรมธรรม์ประกันภัยเพราะข้อตกลงคุ้มครองข้อ 1 ระบุว่า จำเลยร่วมจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อรถยนต์สูญหายไปอันเกิดจากการกระทำความผิดเฉพาะฐานลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ยักยอก เนื่องจากข้อเท็จจริงได้ความว่าบุคคลภายนอกหลอกลวงจำเลยที่ 1 อันเป็นความเท็จจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งไม่อยู่ในเงื่อนไขที่จะได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 1